วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559
วิตามิน
วิตามิน เป็นช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ง่ายแล้วและระบบการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ สำหรับประโยชน์ที่ ร่างกายจะได้รับในด้านบำรุงผิวพรรณ ความสวยงามมีอยู่มากมาย เช่น วิตามินช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด
วิตามินแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. วิตามินที่ละลายในน้ำได้ ได้แก่ วิตามินซี,บี
2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน เอ,ดี, อี, เค
วิตามินแต่ละตัวมีประโยชน์และความจำเป็นอย่างไร
วิตามินที่สามารถละลายในน้ำได้
วิตามินซี มี ความจำเป็นกับร่างกาย ช่วยเส่ริมสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ รักษาบาดแผล สร้างภูมิคุ้มกันโรค หากได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ปลอดจากโรคเครียด ช่วยให้ผิวสดใส ไม่หมองคล้ำ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน วิตามินได้จากอะไรบ้าง เช่น คะน้า ผักโขม มะเขือเทศ สับปะรด มะนาว มะขาม สะเดา มะขามป้อม ส้ม พริก เป็นต้น
วิตามินบี ที่สำคัญมี 5 ชนิด คือ
วิตามินบี 1 มี ประโยชน์ต่อร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหารป้องกันการท้องอืด ยังช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายอีกด้วย ได้จากอาหารจำพวกข้าวซ้อมมือ ตับ เนื้อหมู ไข่แดง ยีสต์ และถั่วต่าง ๆ
วิตามินบี 2 มี ประโยชน์ต่อร่างกาย การทำงานของระบบประสาทตา ช่วยในการทำงานของระบบหายใจ และช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสอีกด้วย อาการบางอย่าง ที่ชี้ว่าคุณกำลังขาดวิตามินบี 2 อยู่ เช่น ลิ้นของคุณมีอาการบวมแดง,เจ็บที่มุมปาก เกิดรอยแผลที่เรียกว่า ปากนกกระจอก สามารถได้รับการทานอาหารจำพวก ไข่ ถั่วต่าง ๆ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและยีสต์
วิตามินบี 5 ประโยชน์ ที่มีต่อร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบผิวหนัง ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร และระบบหายใจ อาการที่บ่งบอกว่า ขาดวิตามินบี 5 อยู่ เช่น อาการความจำเสื่อม ไม่กระตือรือร้นในชีวิต ที่เรียกว่าเชื่องช้า ซึ่งเป็นผลมาจากระบบสมองนั้นทำงานเหนื่อย สังเกตุได้อีกอย่างคือ อาการของการเบื่ออาหาร ถ้าขาดวิตามินนี้มากผิวหนังขึ้นผื่นแดง และทำให้สีผิวคล้ำได้ในที่สุด สามารถได้รับการรับประทานอาหารจำพวก ไข่ ถั่วต่าง ๆ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและยีสต์
วิตามินบี 6 ที่ มีประโยชน์ต่อร่างกายในขบวนการสังเคราะห์ฮีม ส่วนประกอบของฮีโมโกบิน ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์กรดอะมิโนซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อระบบการทำงานของ ร่างกาย อาการที่ทำให้คุณทราบว่า ขณะนี้กำลังขาดวิตามินบี 6 เช่น อาการเกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวกับเม็ดเลือด สังเกตุได้จากผิวหนังที่มีอาการบวมแดง การทำงานที่ต้องใช้สมองคิดมาก ๆ จะช้าลง คุณสามารถรับวิตามินได้จากการทานอาหารจำพวก ไข่ ถั่วต่าง ๆ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและยีสต์
วิตามินบี 12 ที่ มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น ช่วยในการสังเคราะห์ DNA สร้างเม็ดเลือดแดง ตัวช่วยสังเคราะห์โปรตีนในร่างกาย อาการบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าคุณขาดวิตามินนี้คือ อาการของโรคโลหิตจาง เกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง ระบบประสาทผิดปกติ สามารถรับวิตามินนี้ได้จากการทานอาหารจำพวก ไข่ ถั่วต่าง ๆ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและยีสต์
วิตามินที่สามารถละลายในไขมัน
วิตามิน A เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน มีอยู่ 2 ลักษณะคือ
เรตินอน พบมากในเนื้อสัตว์ ประโยชน์นั้นช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของสายตา
เบตาคาโรทีน พบ มากในผัก ผลไม้ ที่มีสีเข้มส้มเหลืองแดงจัด เช่น คะน้า ฟักทอง แครอท เบตาคาโรทีนเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว เอนไซม์ คาโรติเนส ทำการดัดแปลงจากเบตาคาโรทีนให้กลายเป็นวิตามินเอ พบว่าประโยชน์เบตาคาโรทีนสามารถยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ด้านความสวยงาม ขาดสารจำพวกวิตามินเอจะส่งผลทำให้ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ช่วยบำรุงผิว ร้ายแรงอาจถึงขั้นเหยื่อบุผิวหนังอักเสบได้ ระบบการทำงานของดวงตาก็จะมีปัญหาตามมาเช่นกัน หากทานมากไปมีผลทำให้ตัว เหลืองได้
วิตามิน D นี้ หาได้ทั่วไป แค่คุณออกมายืนรับแสงแดดอ่อน ช่วง 6.00-7.40 น ช่วงเย็นประมาณ 16.00- 17.00 น.ช่วงเวลาดังกล่าวแสงแดดจะให้วิตามินดีกับร่างกาย หากพ้นช่วงนี้ไปแล้ว แสงแดดจะให้โทษกับผิวหนังมากกว่าให้คุณ นอกจากวิตามินดีจากแสงแดดแล้ว สามารถรับวิตามินดีได้จากอาหารต่าง ๆ เช่น น้ำมันตับปลา นม เนย ไข่แดง ประโยชน์ที่จะได้รับจากวิตามินดี คือ ช่วยการทำงานของซีเทรทในเลือด กระดูก ลำไส้เล็ก หัวใจ และไต ให้โครงสร้างของกระดูกและฟันแข็งแรง ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส อาการบางอย่างที่แสดงว่ากำลังขาดวิตามินคือ ในช่วงเด็กเล็กมีอาการของกระดูกผิดรูป หากเป็นผู้ใหญ่จะปวดตามข้อกระดูก เป็นต้น
วิตามิน E ช่วย เกี่ยวกับเรื่องของผิวพรรณ ประโยชน์ของวิตามินอี คือ ช่วยป้องกันการแตกของเยื้อหุ้มเซลล์ อาการที่ทำให้คุณรู้ว่ากำลังขาดวิตามินอีอย่างรุนแรงคืน อาการปวดเมื่อยกล้ามเนี้อ กล้ามเนื้อลีบ โรคของโลหิตจาง เป็นต้น วิตามินอีนั้นมีอยู่มากในอาหารจำพวก น้ำมันรำ นม เนย ตับ น้ำมันถั่วเหลือง กระหล่ำดอก เป็นต้น
วิตามิน K คุณ ประโยชน์ คือ ช่วยในการแข็งตัวของเลือด อาการที่บ่งบอกว่ากำลังขาดวิตามินเค อยู่คือ เวลามีบาดแผลเลือดออกจะหยุดยากเพราะไม่มีวิตามินเคที่เป็นเกล็ดเลือดช่วย ห้ามเลือด สามารถได้รับวิตามินเคจากเนื้อสัตว์ ดอกกระหล่ำ กะหล่ำปลี ไข่แดง ตับ และถั่วต่าง ๆ
การบริโภคที่สำคัญนอกจาก อาหาร ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์เราแล้วจะขาดเสียไม่ได้ เพราะหากขาดผลที่ตามมานั้นมากมาย ก็คือ น้ำ
น้ำ คือ สิ่งสำคัญของร่างกาย 90 %ร่างกายคนประกอบไปด้วยน้ำ ช่วยหล่อเลี้ยงระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยหล่อลื่นสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง แต่ละวันร่างกายเราขับของเสียออกมาเป็นน้ำมาก ในรูปของเหงื่อ การขับถ่ายเราจึงจำเป็นต้องบริโภคน้ำให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ เพื่อทดแทนส่วนที่สูญเสียไป ผู้ใหญ่ต้องการน้ำวันละ 6-8 แก้วเฉลี่ยประมาณ 3 ลิตร ที่สำคัญถ้าได้มีการออกกำลังกายคุณควรดื่มน้ำเพิ่มอีก 3 แก้ว ถ้าเกิดภาวะระดับน้ำในร่างกายที่ต่ำ อาจเกิด อาการ หน้ามือ เป็นลมขึ้นได้ ควรสร้างนิสัยในการดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ต่อวัน และน้ำเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ใช่น้ำอัดลม น้ำหวาน กาแฟ เครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์ คาเฟอีน เพราะเป็นสิ่งไม่เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย น้ำยังช่วยชำระล้างของเสียออกจากไต ด้วย
พืชผักสวนครัวหาง่าย
ขิง รสหวานเผ็ดร้อนจะช่วยขับเสมหะ โดยนำเอาส่วนเหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว หรือใช้เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาน้ำและเติม เกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ หรือใช้ขิงแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ ทุบให้แตกต้มกับน้ำให้เดือด จิบเวลาไอ
ดีปลี รสเผ็ดร้อนมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ ใช้ผลแก่ของดีปลีประมาณ 1/2-1 ผล ฝนกับน้ำมะนาว เติมเกลือนิดหน่อย กวาดลิ้นหรือจิบ บ่อยๆ
เพกา เมล็ดเพกาเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งใน "น้ำจับเลี้ยง" ของคนจีน ใช้ดื่มแก้ร้อนใน เมล็ดเพกามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ และขับ เสมหะ โดยใช้เมล็ดเพกาประมาณ 1/2-1 กำมือ (หนัก 1.5-3 กรัม) ต้มกับน้ำประมาณ 300 มิลลิลิตร ตั้งไฟอ่อนๆ ต้มให้เดือดนานประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้ดื่มเป็นยาวันละ 3 ครั้ง
มะขามป้อม ผลสดของมะขามป้อม มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสรรพคุณรักษาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ โดยใช้เนื้อผลแก่สด 2-3 ผล โขลกให้แหลก เหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง
มะขาม รสเปรี้ยวของมะขาม สามารถกัดเสมหะให้ละลายได้ เมื่อมีอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ ให้ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียก (ที่มีรสเปรี้ยว) จิ้มเกลือกินพอสมควร หรืออาจคั้นเป็นน้ำมะขามเหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ ก็ได้
มะนาว รสเปรี้ยวของน้ำมะนาว มีสรรพคุณแก้อาการไอ และขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำมะนาวเข้มข้น และใส่เกลือเล็ก น้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้มีรสจัด จิบบ่อยๆ ตลอดวัน หรือหั่นมะนาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย จิ้มเกลือ นิดหน่อย ใช้อมบ้างเคี้ยวบ้าง
มะแว้งเครือ รสขมของมะแว้ง มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ และกัดเสมหะ โดยใช้ผลแก่สดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ เกลือ จิบบ่อยๆ หรือจะใช้ผลสดเคี้ยว แล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ จนกว่าอาการจะดีขึ้นก็ได้
กิน...รักษาอาการ
การเลือกบริโภคก็มีส่วนช่วยบรรเทาอาการไอได้ แต่ต้องเป็นการกินที่ถูกวิธีและถูกสูตรด้วยนะคะ
1. กินกระเทียมอัดเม็ดครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
2. กินวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน
3.อมลูกอมรสเมนทอล หรือชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการชา จะทำให้รู้สึกชุ่มคอ
4.ผสมน้ำส้มไซเดอร์ 1 ส่วน กับน้ำอุ่น 3 ส่วน เอาผ้าขนหนูชุบน้ำดังกล่าว แล้วพันรอบคอไว้ จะช่วยขับเสมหะ
บำบัดอาการด้วยน้ำมันหอม
น้ำมันหอมสำหรับบำบัดอาการไอ แต่ละกลิ่นก็เหมาะกับแต่ละคน ที่มีธาตุเจ้าเรือนต่างกันดังนี้ค่ะ
•ธาตุเจ้าเรือนดิน ใช้ไพล ไม้จันทน์ มะลิ
•ธาตุเจ้าเรือนน้ำ ใช้โหระพา กำยาน มะลิ
•ธาตุเจ้าเรือนลม ใช้โหระพา เปปเปอร์มิ้นต์
•ธาตุเจ้าเรือนไฟ ใช้โรสแมรี่ พิมเสน การบูร ทีทรี ยูคาลิปตัส ขิง
•ธาตุเจ้าเรือนเป็นกลาง ใช้กุหลาบ
วิธีบำบัด
1.ใช้สูดดมโดยตรง หรือใช้หยดในน้ำร้อนแล้วสูดดม
2.ผสมน้ำมันหอมระเหย วาสลีน และขี้ผึ้งเข้าด้วยกัน แล้วทาที่บริเวณหน้าอก
3.หาก คัดจมูกมากจนหายใจไม่ออก บางทีการสูดดมอาจไม่ค่อยได้ผล ให้ใช้นิ้วถูข้างจมูกทั้งสองข้างให้ร้อน สั่งน้ำมูกออก แล้ว ค่อยสูดดมใหม่ หรือใช้การทานวดจะได้ผลมากกว่า
4.นำยูคาลิปตัส เปปเปอร์มิ้นต์ ลาเวนเดอร์ และไพล ผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ใช้สูดดมสูตรนี้ทำให้น้ำมูกลดลงทันที หายใจ สะดวกขึ้น
5.นำยูคาลิปตัส ไธม์ สน ไซเปรส และแซนดัลวูด ชนิดละ 2-3 หยด หยดลงในอ่างน้ำร้อน แล้วสูดดมไอน้ำประมาณ 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าอาการไอจะหายไป
6.ถ้าต้องการแก้อาการวิงเวียนหน้ามืด ให้เติมการบูร หรือพิมเสน ลงไปเล็กน้อยตามสูตรจากข้อ 4 หรืออาจทำเป็นยาดมพกติดตัว ไว้ เวลาเดินทางไกลๆ หากบังเอิญว่ามีใครไอ จาม ก็หยิบขึ้นมาดมป้องกันการติดเชื้อได้ค่ะ
นิตยสารชีวจิต159
เกลือแร่หรือแร่ธาตุ
เกลือแร่หรือแร่ธาตุ (mineral) ลักษณะหน้าที่เด่นเฉพาะของสารอาหารนี้คือ ทำหน้าที่เป็นตัวเสริม , ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการทำงานของปฏิกิริยาทางเคมีภายในเซลล์ ตัวอย่างเช่น เกลือแร่แคลเซียม และฟอสฟอรัสเป็นสารที่ร่างกายต้องใช้สร้างกระดูกและฟัน เกลือแร่บางตัวทำให้เกิดความสมดุลของความเป็นกรดและด่างภายในร่างกาย บางตัวเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือด บางตัวก็มีส่วนสำคัญที่ร่างกายใช้ประกอบในการสังเคราะห์ฮอร์โมน สารอาหารเกลือแร่มีอยู่ประมาณ 21 ชนิดที่สำคัญต่อร่างกาย เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการมากคือ แคลเซียม ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนประกอบของกระดูก , ฟัน , กล้ามเนื้อ , และในระบบเลือด เกลือแร่ประเภทอื่นที่ร่างกายต้องการนอกเหนือจากแคลเซียม ได้แก่ โซเดียม , โพแทสเซียม , ฟอสฟอรัส , แมกนีเซียม , คลอไรท์ , เหล็ก , ไอโอดีน , ทองแดง , สังกะสี , ฟลูออไรท์ เป็นต้น แต่ละชนิดจะมีหน้าที่ต่างกัน ถ้าขาดก็จะมีผลเสียต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงขาดเกลือแร่ไม่ได้ อาหารที่ให้สารอาหารเกลือแร่คืออาหารหมู่ 3 และหมู่ 4
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/pimตาราง แสดงแหล่งอาหาร ความสำคัญและผลของการขาดแร่ธาตุบางชนิด
แร่ธาตุ
|
แหล่งอาหาร
|
ความสำคัญ
|
ผลจากการขาด
|
แคลเซียม
|
นม เนื้อ ไข่ ผักสีเขียวเข้ม
สัตว์ที่กินทั้งเปลือกและกระดูก เช่น กุ้งแห้ง ปลา
|
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ช่วยในการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อ
|
เด็กเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ในหญิงมีครรภ์จะทำให้ฟันผุ
|
ฟอสฟอรัส
|
นม เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว
ผักบางชนิด เช่น เห็ดมะเขือเทศ
|
ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน
การดูดซึมคาร์โบไฮเดรต
การสร้างเซลล์ประสาท
|
อ่อนเพลีย
กระดูกเปราะและแตกง่าย
|
ฟลูออรีน
|
ชา อาหารทะเล
|
เป็นส่วนประกอบของสารเคลือบฟัน ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุ
|
ฟันผุง่าย
|
แมกนีเซียม
|
อาหารทะเล
ถั่ว นม ผักสีเขียว
|
เป็นส่วนประกอบของเลือด และกระดูก ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
|
เกิดความผิดปกติของระบบ
ประสาทและกล้ามเนื้อ
|
โซเดียม
|
เกลือแกง ไข่ นม
|
ควบคุมปริมาณน้ำในเซลล์
ให้คงที่
|
เกิดอาการคลื่นไส้
เบื่ออาหาร ความดันเลือดต่ำ
|
เหล็ก
|
ตับ เนื้อสัตว์ ถั่ว ไข่
ผักสีเขียว
|
เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์บางชนิดและฮีโมโกลบิน
ในเม็ดเลือดแดง |
โลหิตจาง อ่อนเพลีย
|
ไอโอดีน
|
อาหารทะเล เกลือสมุทร
เกลือเสริมไอโอดีน
|
เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซิน ซึ่งผลิตจาก
ต่อมไทรอยด์ |
ในเด็กทำให้สติปัญญาเสื่อม ร่างกายแคระแกรน ในผู้ใหญ่
จะทำให้เป็นโรคคอพอก |
แหล่งที่มา : http://secondsci.ipst.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=104:2010-10-27-03-55-57&catid=19:2009-05-04-05-01-56&Itemid=34
ไขมัน
- คอเลสเตอรอล (Cholesterol) ประมาณ 150-250 mg/dl
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ประมาณ 35-160 mg/dl
1. กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acids) คือเป็นไขมันเต็มตัวแล้ว คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจนจับกันเป็นลูกโซ่โดยสมบูรณ์ และไม่มีช่องว่างเหลือที่จะทำปฏิกิริยากับสารใดๆ ในร่างกายได้ เป็นกรดไขมันที่คาร์บอนยึดกันด้วยพันธะเดี่ยว มีจำนวนคาร์บอนตั้งแต่ 4–24 อะตอม ดังนั้น ไขมันชนิดนี้จะอยู่ในรูปของแข็งในอุณหภูมิปกติ ไขมันจำพวกนี้จะพบมากใน ไขมันสัตว์ เช่น เนื้อหมู วัว และไขมันจากกะทิ มะพร้าว เนย ไข่แดงและอื่นๆ กรดสเตียริก เป็น กรดไขมันอิ่มตัวมีสมบัติแข็งตัวง่าย มีจุดหลอมเหลวสูง ไม่เหม็นหืน เพราะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ แต่จะย่อยยาก
ไขมันมีประโยชน์อย่างไร
1.
ไขมันเป็นอาหารสำคัญที่มีความจำเป็นต่อร่างกายและเป็น 1 ในอาหาร 5 หมู่
ที่มีประโยชน์ นอกเหนือจากโปรตีน คาร์โบไฮเดรท วิตามินและเกลือแร่
2. ไขมันช่วยในการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมัน (Fat soluble Vitamins) เช่น วิตามินเอ
วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย
3. ไขมันให้พลังงานแก่ร่างกายที่สูงที่สุดคือ 9 แคลอรี่ต่อ 1 กรัมของไขมัน
ช่วยทำให้ร่างกายมีพลังงานที่จะทำงานและประกอบกิจวัตรประจำวัยได้ตามปกติ
4. ไขมันช่วยปกป้องและกันความร้อน รวมทั้งคอยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
โดยทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน (Thermal Insulator)
ของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและอวัยวะที่อยู่ภายในร่างกาย
5.ไขมันช่วยเป็นเสมือนกันชนให้ร่างกาย คือช่วยป้องกันการกระเทือนของอวัยวะภายในร่างกาย
ที่เกิดจากแรงกระแทกหรือการเคลื่อนไหวอย่างแรงของร่างกาย
ซึ่งคอยป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะภายในร่างกาย
6. ไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อประสาทนั่นคือ
เส้นประสาทของคนเราจะมีไขมันเป็นส่วนประกอบในอัตราที่สูง โดยเฉพาะจะหุ้มเส้นประสาท
ช่วยในการป้องกันเส้นประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อถูกสั่งจากสมองไปยังกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
7. ไขมันเมื่อรวมกับโปรตีนก็คือ ไลโปโปรตีน (Lipoproteins)
จะเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะผนังเซลล์และไมโตคอนเดรีย ส่วนนี้มีประโยชน์สำหรับคนเรามาก
เพราะร่างกายของเราประกอบเป็นตัวตนด้วยเซลล์หลายๆ ล้านเซลล์ และเซลล์ของร่างกายเรา
จะผลิตทุกวันเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นั่นคือ ถ้าขาดไขมัน
ผนังเซลล์ของร่างกายเราก็จะอ่อนแอ เซลล์ที่ตายไปก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
โปรตีน
โปรตีน
สมบัติของโปรตีน
- สารชีวโมเลกุลประเภทโปรตีนมีสมบัติและความสามารถในการเกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ดังนี้
- โปรตีนไม่ละลายน้ำ แต่อาจมีบางชนิดที่สามารถละลายน้ำได้บ้างเล็กน้อย
- มีสถานะเป็นของแข็ง
- เมื่อถูกเผาไหม้จะมีกลิ่นเหม็น
- สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) โดยมีกรด ความร้อน หรือเอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้เกิดเป็นกรดอะมิโนจำนวนมาก
โปรตีน + น้ำ -----------> กรด + กรดอะมิโนจำนวนมาก
- โปรตีนทำหน้าที่ทางด้านโครงสร้าง เช่น ระบบเส้นใยของเซลล์ (cytoskeleton) ผม เส้นไหม
- โปรตีนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เช่น แอกติน ไมโอซิน
- เป็นภูมิคุ้มกันคอยปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อม เช่น แอนติบอดี
- ขนส่งสารภายในระบบร่างกาย เช่น ฮีโมโกลบิน
- เป็นแหล่งสำรองพลังงานยามขาดแคลน เช่นโปรตีนในเมล็ดข้าวและน้ำนม
- โปรตีนที่เป็นฮอร์โมน
- โปรตีนให้ความหวานในพืช
- โปรตีนป้องกันการแข็งตัวของเลือดในปลาที่อยู่ในแถบขั้วโลก
- โปรตีนช่วยสร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม
โปรตีนเป็นสารประกอบที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เกิดจากโมเลกุลของกรดอะมิโน (amino acid) จำนวนมากมาสร้างพันธะเชื่อมต่อกันจนเกิดเป็นสายยาว โดยกรดอะมิโนมีลักษณะเป็นสารชีวโมเลกุลซึ่งประกอบด้วยหมู่ฟังก์ชันทั้งที่เป็นหมู่อะมิโน (-NH2) มีสมบัติเป็นเบส และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ซึ่งมีสมบัติเป็นกรด
กรดอะมิโนต่าง ๆ จะมีการสร้างพันธะเชื่อมต่อกันเป็นสายยาวจนเกิดเป็นโมเลกุลของกรดอะมิโนต่าง ๆ ว่า พันธะเพปไทด์ (peptide bond) ซึ่งเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างหมู่คาร์บอกซิลและหมู่อะมิโนของกรดอะมิโนแต่ละโมเลกุล
เนื่องจากโปรตีนเกิดจากกรดอะมิโนจำนวนมากมาเชื่อมต่อกัน ดังนั้นสมบัติของโปรตีนจึงมีความสัมพันธ์กับชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบ สัดส่วนของกรดอะมิโนแต่ละชนิด และลำดับการเรียงตัวของกรด ซึ่งโปรตีนในธรรมชาติมีกรดอะมิโนอยู่ 20 ชนิด ดังนั้นจึงสามารถเกิดเป็นโปรตีนชนิดต่าง ๆ มากมาย โดยโปรตีนที่แตกต่างกันก็จะมีคุณสมบัติและบทบาทต่อร่างกายที่แตกต่างกันด้วย
- โครงสร้างปฐมภูมิ เป็นโครงสร้างที่แสดงพันธะระหว่างกรดอะมิโนแต่ละตัว
- โครงสร้างทุติยภูมิ เป็นโครงสร้างที่แสดงการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนที่อยู่ใกล้กัน โปรตีนทุกชนิดจะมีโครงสร้างระดับนี้ โดยทั่วไปมีสองแบบคือ แบบ อัลฟาเฮลิก สายเพปไทด์ขดเป็นเกลียว กับแบบเบตา สายเพปไทด์อยู่ในรูปซิกแซก
- โครงสร้างตติยภูมิ แสดงการจัดตัวของกรดอะมิโนตลอดทั้งสาย พบในโปรตีนที่เป็นก้อน การจับตัวเป็นกลุ่มก้อนของสายโพลีเพปไทด์นั้นขึ้นกับลำดับกรดอะมิโนและสารอื่นๆที่เข้ามาจับ
- โครงสร้างจตุยภูมิ แสดงการจับตัวระหว่างสายโพลีเพปไทด์ พบในโปรตีนที่ประกอบด้วยหน่วยย่อย (subunit) โดยแต่ละหน่วยย่อยคือสายโพลีเพปไทด์หนึ่งเส้น การจัดตัวขึ้นกับลำดับกรดอะมิโนและสารอื่นๆที่เข้ามาจับเช่นเดียวกัน
เมื่อเราบริโภคอาหารที่มีโปรตีน โปรตีนเหล่านั้นจะถูกย่อยสลายจนกระทั่งกลายเป็นกรดอะมิโน แล้วถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อนำไปสังเคราะห์โปรตีนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นกรดอะมิโนทุกชนิดจึงมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนได้เอง 12 ชนิด ส่วนอีก 8 ชนิดเป็นกรดอะมิโนที่ต้องได้รับจากอาหาร ดังนั้นจึงสามารถแบ่งชนิดกรดอะมิโนได้เป็น 2 ชนิด ตามความจำเป็นในการบริโภค ดังนี้
1) กรดอะมิโนจำเป็น (Essential amino acids) เป็นกลุ่มของกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ มีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จำเป็นต้องได้รับจากอาหารต่าง ๆ ได้แก่
- เทไทโอนีน (Methionine)
- ทริโอนีน (Threonine)
- ไลซีน (Lysine)
- ลิวซีน (Leucine)
- ไอโซลิวซีน (Isoleucine)
- เฟนิลอะลานีน (Phenylalanine) ทริปโตเฟน (Tryptophan)
ร่างกายของคนเราจะนำกรดอะมิโนต่าง ๆ มาใช้สังเคราะห์เป็นโปรตีนซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามบทบาทหน้าที่ของโปรตีนชนิดนั้น ดังตัวอย่างเช่น
- คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับระบบโครงสร้างร่างกาย มีหน้าที่ในการสร้างเอ็นและกระดูกอ่อน
- เคราติน (Keratin) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับระบบโครงสร้างร่างกาย มีหน้าที่ในการสร้างขน ผม เล็บ และผิวหนัง
- อินซูลิน (Insulin) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับระบบฮอร์โมน มีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
- แอคติน (Actin) และไมโอซิน (Myosin) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
- ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับระบบการลำเลียงสารในกระแสเลือด มีหน้าที่ลำเลียงแก๊สออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย
- อิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวกับระบบคุ้มกันของร่างกาย มีหน้าที่การสร้างภูมิคุ้มกัน
- ไลโปโปรตีน โปรตีนจับกับไขมัน
- ไกลโคโปรตีน โปรตีนจับกับคาร์โบไฮเดรต
- ฟอสโฟโปรตีน โปรตีนจับกับหมู่ฟอสเฟต
- ฮีโมโปรตีน โปรตีนจับกับฮีม (heme)
- ฟลาโวโปรตีน โปรตีนจับกับฟลาวิน นิวคลีโอไทด์ (Flavin nucleotide) เช่น ซักซิเนต ดีไฮโดรจีเนส (succinate dehydrogenase)
- เมทัลโลโปรตีน โปรตีนจับกับโลหะเช่น เฟอร์ริทิน (จับกับ Fe) อัลกอฮอล์ ดีไฮโดรจีเนส (จับกับ Zn) เป็นต้น
1. ให้กรดแอมิโน ซึ่งร่างกายจะนำไปสร้างโปรตีนในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ตลอดชีวิต
2. สร้างสารที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ได้แก่ เอนไซม์ ฮอร์โมน และสารภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะช่วยควบคุมปฏิกิริยาต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติ
3. รักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกายให้คงที่ เช่น ค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) โดยโปรตีนในเลือดจะช่วยให้เลือดมี pH คงที่หรือเป็นด่างเล็กน้อย ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะแก่การทำงานของอวัยวะ อีกทั้งยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายและควบคุมความเข้มข้นของเลือดและน้ำให้คงที่
4. ให้พลังงานแก่ร่างกาย (โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี) เมื่อร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันไม่เพียงพอ จะมีการนำโปรตีนที่สมสะอยู่ในกล้ามเนื้อมาผลาญให้เกิดพลังงาน
5. ช่วยในการขนส่งสารต่าง ๆ ในเลือด เช่น ฮอร์โมน วิตามิน ไขมัน และเกลือแร่ เป็นต้น
บทบาทและหน้าที่ของโปรตีนยังมีอีกหลายประการ เช่น เป็นส่วนประกอบของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของไมโอซิน (myosin) และแอกทิน (actin) ในกล้ามเนื้อ โดยมีสภาพเป็นโปรตีนขนาดเล็กเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate)
1. แป้ง (starch) เป็น คาร์โบไฮเดรตที่พบในพืช สะสมอยู่ในเมล็ด ราก หัว ลำต้น เมล็ดเป็นแหล่งธัญพืชสำคัญ โมเลกุลของแป้งเกิดจากน้ำตาลกลูโคสต่อกันเป็นจำนวนมากในรูปที่เป็นเส้นตรง อะมิโลส (amylose) และกิ่งก้านอะมิโลเพกทิน (amylopectin) เมื่อแป้งถูกย่อยถึงขั้นสุดท้ายจะได้น้ำตาลกลูโคส
2. ไกลโคเจน (glycogen) เป็น น้ำตาลหลายชั้น พบในตับ และกล้ามเนื้อสัตว์ บางทีเรียกว่า แป้งสัตว์ มีส่วนประกอบคล้ายแป้ง แต่มีกิ่งก้านมากกว่า เมื่อแตกตัวออกจะได้กลูโคส ไม่พบในพืช
3. เดกซ์ทริน (dextrin) ได้ จากการย่อยแป้ง อาหารที่มีเดกซ์ทรินอยู่บ้าง ได้แก่ น้ำผึ้ง โดยมากปนอยู่กับคาร์โบไฮเดรตอย่างอื่น เดกซ์ทรินเมื่อแตกตัว หรือถูกย่อยต่อไปจะให้มอลโทส และท้ายที่สุดจะให้กลูโคส แป้ง เดกซ์ทริน มอลโทส กลูโคส
อาหาร
ความหมายของอาหาร
อาหาร
หมายถึง สิ่งที่เรารับประทานเข้าไปแล้วทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายในด้าน
ต่างๆ ไม่ทำให้เกิดโทษ เช่น เนื้อสัตว์ ข้าว แป้ง ผัก ผลไม้ นม ฯลฯ
ยกเว้นยารักษาโรค
ความหมายของอาหาร ( มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 )
การจำแนกสารอาหารตามหลักโภชนาการ สามารถแบ่งได้เป็น 5 หมู่ คือ
อาหารหมู่ที่ 1 กลุ่มโปรตีน ได้แก่ อาหารจำพวก เนื้อ นม ไข่ ถั่วเมล็ดต่างๆ อาหารในหมู่นี้จะมีสารโปรตีนสูง เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะให้สารอาหารประเภทโปรตีน ซึ่งให้ประโยชน์ต่อร่างกายในด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ให้พลังงาน และช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ในแต่ละวันมนุษย์เราต้องการสารโปรตีนในปริมาณ 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
อาหารหมู่ที่ 2 กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อาหารจำพวกแป้ง เผือก มัน น้ำตาล อาหารหมู่นี้เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และเปลี่ยนสารคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงานที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
อาหารหมู่ที่ 3 กลุ่มเกลือแร่หรือแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ อาหารจำพวกผักใบเขียว และพืชผักอื่นๆ แร่ธาตุเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการและขาดไม่ได้ เพราะแร่ธาตุบางชนิดเป็นส่วนประกอบของอวัยวะและกล้ามเนื้อบางอย่าง เช่น กระดูก ฟัน เลือด บางชนิดเป็นส่วนของสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เฮโมโกลบิน เอนไซม์ ฯลฯ นอกจากนี้ แร่ธาตุยังช่วยในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้ทำหน้าที่ปกติ เช่น ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด ช่วยควบคุมสมดุลของน้ำในการไหลเวียนของของเหลวในร่างกาย ที่สำคัญช่วยให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายเป็นปกติ
อาหารในหมู่นี้มีในพืช ผัก ชนิดต่างๆ ทั้งผักใบเขียว และสีต่างๆ เช่น สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีขาว ฯลฯ ซึ่งมีทั้งพืชผักที่เรารับประทาน ใบ ดอก ผล ลำต้น หัว หรือ รับประทานได้ทุกส่วน ซึ่งจะให้คุณค่าอาหารที่แตกต่างกัน เช่น ผักตำลึง ดอกแค ฟักทอง แครอท ฯลฯ
อาหารหมู่ที่ 4 กลุ่มวิตามิน ได้แก่ อาหารจำพวกผลไม้ต่างๆ อาหารหมู่นี้เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะให้สารอาหารประเภทเกลือแร่และวิตามิน คล้ายกับอาหารหลักหมู่ที่ 3 ซึ่งให้ประโยชน์ต่อร่างกายในด้านบำรุงสุขภาพของผิวหนังให้สดชื่น บำรุงสุขภาพปาก เหงือก และฟัน ช่วยให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายเป็นปกติ อาหารในหมู่นี้นอกจากจะให้วิตามิน เกลือแร่ แล้วยังให้กากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายที่เป็นปกติ ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ
อาหารหมู่ที่ 5 กลุ่มไขมัน ได้แก่ อาหารจำพวกไขมันจากพืชและสัตว์ เช่น นม เนย ชีส น้ำมันพืช น้ำมันหมู เมื่อร่างกายได้รับไขมันที่กินเข้าไปแล้วจะเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน ไขมันทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นและเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ถ้าเรารับประทานแต่พอดี จะทำให้ระบบการทำงานภายในเป็นปกติ ไขมันยังช่วยปกป้องเซลล์และห่อหุ้มอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะจะห่อหุ้มเส้นประสาทช่วยในการป้องกันเส้นประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ แล้วไขมันยังทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ที่ร่างกายรับจากอาหาร ไขมันเป็นอาหารที่ย่อยยาก ร่างกายจะต้องใช้เวลาในการย่อยสลายนานกว่าอาหารกลุ่มอื่นๆ ร่างกายของมนุษย์เราต้องการไขมันวันละไม่มากในปริมาณที่แตกต่างกันไปตามวัย
การ แบ่งสารอาหารโดยใช้เกณฑ์การให้พลังงานของสารอาหาร จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
- กลุ่มสารอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรท โปรตีน และไขมัน
- กลุ่มสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ได้แก่ เกลือแร่ และ วิตามิน